วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK 4 : ภาษาซี (C)

ภาษาคอมพิวเตอร์คืออะไร
หลายคนคงเคยสงสัยกันนะครับว่าโปรแกรมทำงานขึ้นมายังไง ทำไมไอหน้าจอคอมพิวเตอร์สี่เหลี่ยมถึงมีเกมส์เล่นหรือว่าทำโปรแกรมแต่งรูปต่างๆได้เหมือนกับมนุษย์ที่สื่อสารกันด้วยภาษาที่ยอมรับกัน คอมพิวเตอร์ก็มีภาษาทางการของพวกเขาเช่นกันครับทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นภาษาของคอมพิวเตอร์มนุษย์ก็สามารถทำความเข้าใจได้เช่นกัน แต่ในเฉพาะระดับสูงเท่านั้น พวกเลขฐานสอง 00110011 ก็ปล่อยให้คอมพิวเตอร์ใช้ไปเถอะครับ 555+ *ด้วยความนี่ผู้เขียนบล็อกไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องการเขียนโปรแกรมและภาษาคอมพิวเตอร์แต่ต้องเขียนเรื่องนี้ส่งอาจารย์ ก็เลยต้องอ่านผ่านๆให้พอรู้เรื่อง ก็อปวางบ้างบางบรรทัดหากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ (ง030)ว

ภาษาซี
ในเมื่อเป็นภาษาก็ย่อมต้องมีความแตกต่าง เหมือนที่เรามีภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาไทย ภาษาจีน
คอมพิวเตอร์ก็มีภาษาระดับสูงแยกย่อยออกไปอีกเช่นกันโดยที่จะสามารถแยกย่อยออกไปอีกมากมาย ภาษาที่นิยมใช้กันโดยมากจะเป็น Python,Java,C++,C#,Ruby [*ที่มา http://www.i-programmer.info/news/98-languages/8277-most-popular-computer-languages-2015.html] โดยจะยกภาษาทั้งหมดมากล่าวถึงในบล็อกอันน้ิยนิดของผมคงจะยากไปหน่อยเพราะฉะนั้นผมขออณุญาติกล่าวถึงภาษาที่คุ้นหูคนทั่วไปอย่างภาษา C (ซี) ในการเขียนบล็อกครั้งนี้ครับ

โดยภาษาซีนั้นพัฒนาขึ้นโดยอเมริกันนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า Dennis MacAlistair Ritchie ในช่วงปีค.ศ. 1969-1973 ที่ AT&T Bell Laboratory โดยกลายมาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคอมพ์พิวเตอร์ในปัจจุบัน

ภาษาซีนั้นยังถูกพัฒนาต่อเป็นภาษา C++ C# อีกด้วย

Dennis McAlistair Ritchie : http://www.adeptis.ru/vinci/dennis_ritchie1.jpg
การออกแบบของภาษาซี
ออกแบบมาเพื่อเข้าถึงภาษาระดับล่าง สามารถรองรับภาษายุคก่อนๆได้ และสามารถทำงานได้หลายแพลตฟอร์มอีกด้วย

ลักษณะพิเศษฟ
-มีชุดคำสัญอยู่จำนวนหนึ่งเช่น for , if/else , while , switch , do/while
-มันการใช้สัญลักษณ์และก็มีการผสมสัญลักษณ์อีกด้วย +,+=,+-,~ บลาๆ
-สามารถข้ามฟังก์ชั่นตัวเลขได้เวลาที่ไม่ใช้
-ใช้วงเล็บปีกกา{...}แทน Start.....end
-คำที่สงวนไว้มีน้อย
-ตัวเท่ากับสองตัว == ใช้แสดงความเท่ากัน
-ตัวแปรอาจถูกซ่อนในบล็อกซ้อนใน
-etc.

คุณลักษณะที่ขาดไป 
ขออนุญาตินำมาจาก* https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาซี
-ไม่มีการนิยามฟังก์ชันซ้อนใน
-ไม่มีการกำหนดค่าแถวลำดับหรือสายอักขระโดยตรง (การคัดลอกข้อมูลจะกระทำผ่านฟังก์ชันมาตรฐาน แต่ก็รองรับการกำหนดค่าวัตถุที่มีชนิดเป็น struct หรือ union)
-ไม่มีการเก็บข้อมูลขยะโดยอัตโนมัติไม่มีข้อกำหนดเพื่อการตรวจสอบขอบเขตของแถวลำดับไม่มีการดำเนินการสำหรับแถวลำดับทั้งชุดในระดับตัวภาษา
-ไม่มีวากยสัมพันธ์สำหรับช่วงค่า (range) เช่น A..B ที่ใช้ในบางภาษาก่อนถึงภาษาซี99
-ไม่มีการแบ่งแยกชนิดข้อมูลแบบบูล (ค่าศูนย์หรือไม่ศูนย์ถูกนำมาใช้แทน)
-ไม่มีส่วนปิดคลุมแบบรูปนัย (closure) หรือฟังก์ชันในรูปแบบพารามิเตอร์ (มีเพียงตัวชี้ของฟังก์ชันและตัวแปร)
-ไม่มีตัวสร้างและโครูทีน การควบคุมกระแสการทำงานภายในเทร็ดมีเพียงการเรียกใช้ฟังก์ชันซ้อนลงไป เว้นแต่การใช้ฟังก์ชัน longjmp หรือ setcontext จากไลบรารี
-ไม่มีการจัดกระทำสิ่งผิดปรกติ (exception handling) ฟังก์ชันไลบรารีมาตรฐานจะแสดงเงื่อนไขข้อผิดพลาดด้วยตัวแปรส่วนกลาง errno และ/หรือค่ากลับคืนพิเศษ และฟังก์ชันไลบรารีได้เตรียม goto แบบไม่ใช่เฉพาะที่ไว้ด้วย

การใช้งาน
โปรแกรมภาษาซีใช้ได้หลากหลายสุดๆ แต่โดยทั่วไปภาษาอื่นๆมักจะใช้ฐานข้อมูลจากภาษาซีแล้วค่อยแปลงเป็นภาษานั้นๆ และภาษาซียังมักจะใช้เป็นโปรแกรมในการคำนวนอีกด้วย
แค่เห็นก็ปวดหัวละครับ : http://i.stack.imgur.com/rzTMz.png



ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาซี
และ
https://en.wikipedia.org/wiki/C_(programming_language)

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : SOCIAL NETWORK กับนักเรียนและสังคมไทย

           ถ้าถามว่าใครรู้จักโซเชียลเน็ตเวิร์คกับเด็กยุคศตวรรษที่ 21 คงไม่มีใครไม่รู้จักคำๆนี้อย่างแน่นอน เพราะสมัยนี้จะให้โทรหากันอย่างเดียวก็ดูจะสิ้นเปลืองค่าโทรเกินไปหน่อย โซเชียลเน็ตเวิร์คเลยเป็นทางเลือกให้ในการติดต่อสื่อสารและแชร์ข้อมูลข่าวสารสำหรับคนทั่วโลกที่ทั้งสะดวก,รวดเร็ว และ ค่อนข้างประหยัดอีกด้วย



http://blue16media.com/wp-content/uploads/2014/03/SocialMediaIconcollage.png
ที่มา : http://blue16media.com/wp-content/uploads/2014/03/SocialMediaIconcollage.png
       

                 ปัจจัยที่ทำให้โซเชียลเน็ตเวิร์คมาเป็นแหล่งการติดต่อสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ สืบเนื่องมาจากการพัฒนาที่รวดเร็วของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบปฎิบัติการที่ทำมารองรับการทำงานของเครื่องมือสื่อสารมีความสมบูรณ์และอรรถประโยชน์มากขึ้น(โดยที่รู้กจักกันเป็นอย่างดีคือ Android และ iOS) ทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น โดยชาติที่พัฒนาแล้วก็มีความเร็วที่สูงขนาดที่ว่าสามารถ ดาวน์โหลด GTA V(~50GB^) ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ต่างกับประเทศสารขัณฑ์อย่างบางประเทศที่โหลดทั้งวันยังขึ้นแค่...........  อะแฮ่ม!! อย่างไรก็ดีด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลข่าวสารขนาดนี้ทำให้การอัพเดตเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วแล้วราคาถูก ก็ยังส่งผลให้มีการหันมาใช้ในทางพาณิชย์อีกด้วยทั้งการตั้งเพจขายสินค้าออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้านทำให้ตัดปัญหาเรื่องค่าเช่าเป็นการลดต้นทุนทำให้ขายได้ในราคาถูกกว่าตามหน้าร้านทั่วๆไป

         ในการเรียนการสอนยุคใหม่ๆก็เริ่มมีการนำโซเชียลเน็ตเวิร์คมาใช้ร่วมกับการเรียนการสอน (อย่างงานเขียนบล็อคนี้ผู้เขียนก็ต้องไปส่งอาจารย์ในเฟสบุ็คเหมือนกัน 555+) โดยรวมแล้วก็นับเป็นแนวทางการสอนแบบใหม่ที่ดีอีกทางเช่นเดียวกันเพราะนอกจากจะทำให้มีความสะดวกรวดเร็วแล้วยังอำนวยความสะดวกในหลายๆปัจจัยอื่นเช่นไม่จำเป็นต้องไปส่งงานกับตัวอาจารย์เองซึ่งถ้าไปก็อาจจะไม่เจอเพราะติดพักเที่ยงเอย,วางงานไว้ในห้องแล้วหายเอย,แถมยังช่วยประหยัดกระดาษอีกด้วย โดยรวมแล้วโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นระบบการสื่อสารที่ดีแต่ ก็ไม่ควรนำไปใช้ในทางที่ผิดเพราะอาจเกิดปัญหาในภายหลังได้นั่นเอง
       
         ในระดับสังคมไทยที่ดูจะมีผลมากที่สุดคือคนวัยทำงานเพราะคนวัยทำงานจะยุ่งวุ่นวายกับการทำงานทำให้อาจจะขาดการติดต่อเพื่อนเพื่อนและคนในครอบครัว

ที่มา : ยังไม่เคยก็อปมาวางเลยฮะ










วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 - Kotonoha no Niwa (The Garden of Words) : ยามสายฝนโปรยปราย



"งั้นเราอาจจะได้พบกันอีกก็ได้นะ ถ้าเมื่อไหร่ที่ฝนตกละก็"


ขอบขุณภาพจาก : http://static.neregate.com/2013/06/Kotonoha-no-Niwa.png
  1. ออกฉายครั้งแรก : 31 พฤษภาคม 2556 (ญี่ปุ่น)
  2. Director : Makoto Shinkai
  3. ความยาว : ประมาณ 40 นาที
  4. Studio : CoMix Wave Film
  5. ลิขสิทธิ์ในไทย : Tiga


Kotonoha no Niwa หรือ The Garden of Word เป็นผลงานอย่างเป็นทางการชิ้นที่ 5 ของ อ.มาโคโตะชินไค ผู้กำกับเรื่อง Voice of a Distant Star, The Placed Promised in Our Early Days, และเรื่องที่สร้างชื่อให้กับอ.มากที่สุด 5cm per Second ที่หลายๆคนดูแล้วปวดใจไปตามๆกัน โดยครั้งนี้ The Garden of Words ได้เน้นที่ธีมของเรื่องคือ "ฝน" เป็นเรื่องของเด็กมัธยมคนหนึ่งที่ฝันอยากจะเป็นช่างทำรองเท้า และทุกเช้าที่ฝนตกเขาจะหนีเรียนไปนั่งเล่นในศาลาที่สวนสาธาณะเสมอ  ในเช้าวันหนึ่งวันที่ฝนตก ณ ที่นั่นเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่นั่นเช่นกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดใน The Garden of Word




โดยใครที่ติดตามงานของอาจารย์มาโคโตะ ชินไคก็คงพอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่างานภาพของแต่ละเรื่องนั้นเมพสุดๆเกือบทุกเรื่องจริงๆ ทั้งการลงแสงที่นับว่าเป็นจุดเด่นและทำให้มีอารมณ์ร่วมในเนื้อเรื่อง
ไม่ว่าจะฉากอบอุ่นรึดราม่าก็ตาม  พอมาในเรื่อง The Garden of Word ผมพูดเลยว่าผมไม่เคยเห็นอนิเมชั่นเรื่องไหนมีงานภาพที่ "สุดยอด" ขนาดนี้ทั้งฉาก ฝนตก แดดออก หิมะร่วง ทำได้สมจริงมาถึงมากที่สุด จนคิดว่า "เห้ยนี่แม่งอนิเมะจริงป่าว" อะไรประมาณนั้นเลย




แต่ว่านอกจากเรื่องภาพที่สุดยอดนั้น ตัวเนื้อเรื่องกลับไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าเป็นงานของอ.มาโคโตะเท่าไหร่  ทั้งที่งานของอ.ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่อง "เวลากับระยะห่าง" ของคนสองคน แต่ในเรื่องนี้กับไม่ค่อยรู้กสึกปวดใจกับเรื่องนั้นเท่าที่ควร แถมนอกจากนั้นแล้วด้วยความยาวที่ยาวเพียงแค่ประมาณ 40 กว่านาทีทำให้เนื้อเรื่องผ่านไปโคตรจะเร็ว อาจจะทำให้ดูแล้วไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าที่ควร ส่วนเรื่องที่จบแบบค้างคาก็เข้าใจว่าเป็นสไตล์ของเขานั่นแหละครับ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากซื้อมาเสพภาพอย่างเดียวก็โคตรคุ้มละครับ 




ส่วนเพลงประกอบชื่อเพลงว่า "Rain" - Motohiro Hata ที่เป็นเพลงที่เพราะแถมเข้ากับเนื้อเรื่องอีกต่างหาก แต่พอเอาไปใส่ในฉากเรื่องกลับดึงอารมณ์มาได้ไม่มากเท่าที่ควร (ความเห็นส่วนตัว) 

_________________________________________________________________________________


โดยรวมแล้วส่วนตัวผมว่า Kotonoha no Niwa หรือ The Garden of Word เป็นอนิเมชั่นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะหามาดูเพราะด้วยเรื่องภาพที่โคตรจะเทพแล้วตัวเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่มากมาย ถึงจะไม่ได้ดีแต่ก็ไม่ได้แย่ เพลงประกอบก็เพราะมากทีเดียวเลยนะครัช

พรีวิวครั้งแรก ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ


ที่มา : พิมพ์เองครับ
ภาพประกอบทั้งหมดที่ไม่มีเครดิตแคปมาจากอนิเมชั่น Kotonoha no niwa ครับ






วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของนักเรียน

ถ้าลองตั้งคำถามกับทุกคนที่อ่านบล็อกของผมว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของทุกท่านคืออะไร ผมค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าคำตอบคงหนีไม่พ้น ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งต้องมีโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต/ PCอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน เคยตั้งคำถามกันหรือเปล่าว่าโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเราตั้งแต่เมื่อไหร่?

ที่มา : คลิกที่รูปครับ


                     ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรตที่ผ่านมาทำให้การสื่อสารทางไกลมีประสิทธิภาพและทำงานได้อย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราในที่สุด ทั้งการทำงานและส่งงาน การศึกษาหาข้อมูล การอัพเดตข่าวสารต่างๆ ก็สามารถทำได้ในโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว นอกจากจะเป็นอุปกรณ์การทำงานแล้ว โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตยังเป็น Entertainer ที่มากความสามารถอีกด้วยทั้ง การเล่นเกมส์ ดูวิดีโอ ฟังเพลง คุยกับเพื่อน และยังเป็นแบบ Portable อีกด้วย จึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความสะดวกสบายรวดเร็วและหลากหลายในตัวเอง

                      แต่ด้วยความหลากหลายและครบครันของตัวเทคโนโลยี"ที่มากเกินไป"ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเราพึ่งพามันมากเกินเช่น  เลือกที่จะดาวโหลดหนังสือมาอ่านในโทรศัพท์แทนที่จะหาอ่านในห้องสมุดหรือร้านหนังสือ  เลือกที่จะคุยกับเพื่อนในโทรศัพท์แทนการเดินไปหา  เลือกที่จะอยู่กับโทรศัพท์แทนการเข้าสังคม  ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให่เราหมกมุ่นอยู่กับมันยังทำให้เสียสุขภาพทั้งประสาทตาปวดหัวแล้ว ถ้าติดจนลืมออกกำลังกายอีกก็จะทำให้ภูมิต้านทานต่ำอีกด้วย

ที่มา : ที่เดิมครับ

                      เทคโนโลยีนั้นมีประโยชน์มากมาย  แต่การพึ่งพามันที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดการถดถอยทั้งด้านสุขภาพและพัฒนาการ เพราะฉะนั้น เราสามารถพึ่งพามันได้แต่ควรแต่พอดีแบ่งเวลาออกกำลังกายให้พอเหมาะเล่นให้พอควร แล้วเราจะอยู่กับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขครับ


ที่มา : ไม่ต้องหาครับ พิมพ์เองหมด